ทีเส็บเดินหน้าแคมเปญ “Zero Plastic Events” ลดใช้ขวดพลาสติกใน 5 เมืองไมซ์สู่ความยั่งยืน

ทีเส็บประกาศความร่วมมือพัฒนา 5 เมืองไมซ์ใน 4 มิติ ประเดิมแคมเปญแรก “Zero Plastic Events” ตั้งเป้าลดจำนวนขวดพลาสติกที่ใช้ในห้องประชุมในเมืองไมซ์ซิตี้ 17.3 ล้านขวด ลดลง 50 % ภายใน 1 ปี คิดเป็นปริมาณคาร์บอนได้ถึง 638 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เท่ากับปลูกต้นไม้ 70,226 ต้น ลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 30 ลบ

เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศและความพร้อมของเมืองในการเป็นเจ้าภาพจัดงานนานาชาติ ตลอดจนพัฒนาระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมไมซ์ในพื้นที่อย่างเป็นระบบ (MICE Ecosystem) ให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีจิตอาสาร่วมพัฒนาเมืองสู่การเป็นเมืองแห่งไมซ์ที่ยั่งยืน ในเมืองไมซ์หลักทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น

ทีเส็บได้ประกาศความร่วมมือพัฒนา 5 เมืองไมซ์ใน 4 มิติ คือ การพัฒนาศักยภาพ องค์ความรู้ จัดอบรม ส่งเสริมข้อมูล การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่สถานที่หรือผู้จัดงาน การสนับสนุนงาน ผลักดันการจัดงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Events) และผลักดันสถานที่จัดงานให้ได้มาตรฐานความยั่งยืน ตลอดจนการติดตามประเมินผล ส่งเสริมการวัดผลการแสดงความยั่งยืนจากธุรกิจไมซ์ที่จับต้องได้

สำหรับแคมเปญแรกที่ 5 เมืองไมซ์ซิตี้ จะผลักดันร่วมกันในปีนี้ คือ “Zero Plastic Events” กำหนดเป้าหมายจำนวนขวดพลาสติกที่ใช้ในห้องประชุมในเมืองไมซ์ซิตี้ ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 17,345,674 ขวด ให้ลดลง 50% เหลือ 8,672,837 ขวด ภายใน 1 ปี

 

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทีเส็บ

 

ด้วยเหตุนี้ ทีเส็บจึงร่วมกับ 5 เมืองไมซ์ซิตี้ เร่งกระตุ้นการลดใช้ขวดน้ำพลาสติกในการจัดประชุม สัมมนา และนิทรรศการในเมืองไมซ์ซิตี้ ผ่านการรณรงค์ 3 แนวทาง คือ 1) การใช้ขวดแก้ว ซึ่งเหมาะกับการประชุมระยะสั้น 1-2 วัน โดยแนวโน้มการบริโภคในปัจจุบันคือ น้ำ 1 ขวดต่อผู้ร่วมประชุม 2 ท่าน 2) การใช้ขวดน้ำพกพา เหมาะกับการประชุมที่มีระยะเวลามากกว่า 1 วัน สามารถแจกแทนของที่ระลึกและให้นำมาใช้ในการประชุมทุกวัน 3) การใช้ตู้กดน้ำ เหมาะกับการประชุมทุกประเภท แนะนำการนำภาชนะมาใช้เองของผู้เข้าประชุมหรือแก้วน้ำของสถานที่ โดยงดใช้แก้วพลาสติกหรือกระดาษ

จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า“หากการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย จะสามารถลดการใช้ขวดพลาสติกในปริมาณดังกล่าว โดยคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนได้ถึง 638 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (Tonco2) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 70,226 ต้น และลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 30,000,000 บาท ทีเส็บมั่นใจว่าความร่วมมือนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยไปสู่ความยั่งยืน และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในฐานะจุดหมายปลายทางไมซ์ชั้นนำแห่งเอเชีย”

สำหรับทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในปี 2563 นั้นจิรุตถ์เปิดเผยว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับไมซ์ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อให้เกิดการพัฒนาธุรกิจไมซ์อย่างยั่งยืน

กลยุทธ์หลักประกอบด้วยการส่งเสริมตลาดและการขายควบคู่ไปกับความร่วมมือกับพันธมิตรทางด้านการตลาด โดยการนำผู้ประกอบการไมซ์ไทยเจรจาธุรกิจในงานเทรดโชว์หลักด้านไมซ์ทั่วโลก ในส่วนของการสร้างพันธมิตรในปีนี้ จะเพิ่มการมีส่วนร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่นโดยเฉพาะในเมืองที่มีศักยภาพ มีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น

 

กลุ่มเป้าหมายในการส่งเสริมตลาดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล หรือ ตลาด Meetings & Incentives (MI) ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดหลักซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางไมซ์จาก ASEAN+6 (จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี,ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) และสหรัฐอเมริกา โดยมียุโรปเป็นตลาดรอง และจะขยายไปยังตลาดใหม่ในประเทศแถบยุโรปตะวันออก

ทั้งนี้ ทีเส็บจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการขาย 4 Ms ทั้งในรูปแบบการเพิ่มการสนับสนุนและการจัดแคมเปญร่วมกับพันธมิตรกระจายสู่แต่ละกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ แคมเปญสำหรับกลุ่มประชุมที่เดินทางไปยังเมืองที่มีศักยภาพในจังหวัดต่างๆ (Meet Now) กลุ่มการประชุมขนาดใหญ่ (Meet Mega) กลุ่มประชุมตามธุรกิจภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 (Meet Smart) และกลุ่มประชุมที่จัดงานหรือทำกิจกรรมเพื่อการจัดงานอย่างยั่งยืน (Meet sustainable 2020) โดยได้รับสิทธิพิเศษ อาทิ ช่องทางพิเศษ MICE Lane การแสดงทางวัฒนธรรม ของที่ระลึก และงบประมาณสนับสนุนตามเงื่อนไขมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท

โดยทีเส็บกำหนดเป้าหมายปี 2563 จะมีนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยโดยรวม 1,386,000 คน ทำรายได้ 105,600 ล้านบาท ในจำนวนนี้ประมาณการว่าจะเป็นตลาดธุรกิจประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล 762,000 คน สร้างรายได้ 57,000 ล้านบาท

Stay Connected
Latest News