Top StoriesTrending

เบื้องหลัง ‘มะขามสารัช’ ต้นตำรับมะขามจี๊ดจ๊าด​ กับการรีแบรนด์ รุก​ตลาดครั้งใหญ่​รอบ 50 ปี และเป้าหมายที่มากกว่าแค่ยอดขายเติบโต

Brand Story 'มะขามสารัช' กับการขยับมาสร้างแบรนดิ้งในรอบ 50 ปี พร้อมเป้าหมายในการสร้างชื่อให้มะขามเพชรบูรณ์ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เมื่อ​แบรนด์ SME ​สามารถปั้น Hero Products ให้ได้ใจคนทั่วประเทศได้สำเร็จ  แต่ขณะเดียวกัน ความสำเร็จดังกล่าวก็​เป็นหนึ่งใน Pain point สำคัญของแบรนด์​ด้วยเช่นกัน

เมื่อ​แบรนด์มะขามแปรรูปต้นตำรับจากเมืองเพชรบูรณ์ หรือจะเรียกว่าเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ อย่าง ‘มะขามสารัช’ ที่บุกเบิกตลาด​มะขามแปรรูปมากว่า 50 ปี ซึ่งต้องถือว่านานกว่าอายุของแบรนด์มะขามสารัชเสียอีก เนื่องจากผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง คุณแม่หมู –  ศุภาลักษณ์ กมลธรไท ได้นำชื่อลูกชายอย่าง คุณแฟลช –  สารัช กมลธรไท มาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ในปี 2525 ซึ่งเป็นปีที่ลูกชายเกิดนั่นเอง

ความสำเร็จของ ‘มะขามสารัช’ ในการสร้างให้ตลาดมะขามแปรรูปเป็นที่คุ้นเคยของคนไทย ยกระดับจากการเป็นสินค้าเกษตร  ​ให้กลายมาเป็นสินค้าในกลุ่ม Snack ที่ทำให้รับประทานได้บ่อยและง่ายขึ้น ด้วยรสชาติที่หลากหลาย จนขยายช่องทางจากร้านค้าทั่วไป ตามงานวัดหรืองานเทศกาลต่างๆ มาสู่โมเดิร์นเทรดอย่างห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้สำเร็จ

เมื่อ Hero Products สร้าง Pain point ให้แบรนด์ 

‘มะขามสารัช’ เติบโตแบบก้าวกระโดด​​เป็นเท่าตัว เมื่อสามารถยึดเชลฟ์ในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ มีสาขากระจายทั่วประเทศใน​​ปี 2547 รวมทั้งอีกหนึ่ง Success S​tory ของแบรนด์ ในฐานะผู้คิดค้นสูตร ‘มะขามจี๊ดจ๊าด‘ ที่หลายคนติดใจในรสชาติ ที่จัดจ้าน จี๊ดจ๊าดสมชื่อ โดยเฉพาะเวลาต้องการความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หรือยามที่ต้องการให้ร่างกายตื่นตัว จากความง่วง หรืออาการเหนื่อยล้า​ได้เป็นอย่างดี

​สูตรมะขามจี๊ดจ๊าด เริ่มทำตลาดในปี 2551 เมื่อมะขามสารัชต้องการ​​ขยายพอร์ตสินค้าในกลุ่มมะขามเปรี้ยวเพิ่มเติม และประสบความสำเร็จจนทำให้สินค้าได้รับความนิยมไปทั่วทั้งประเทศ กลายเป็นสินค้าสำคัญที่สร้างรายได้​ราวครึ่งหนึ่งของยอดขาย​ พร้อมทั้งติด Top 3 Best Seller ในช่องทางคอน​วีเนียนสโตร์​​ช่วงที่บุกตลาดด้วย

ปัจจุบันเฉพาะสินค้าในกลุ่มมะขามจี๊ดจ๊าดมีสินค้าถึง 10 SKUs ในหลากหลายรสชาติ และยังเป็นสินค้าขายดีของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกันเมื่อสินค้าเป็นที่นิยมในตลาด ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงตามมา แต่การแข่งขันที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันด้านการตลาด ลดแลกแจกแถม ขยายช่องทางจำหน่าย หรือการทำโปรโมชั่นทั่วไป แต่เป็นการเกิดขึ้นของแบรนด์ใหม่ในตลาด ที่มีชื่อแบรนด์เหมือนกับชื่อสูตรมะขามจี๊ดจ๊าด ​ซึ่งเป็นสินค้าฮีโร่สำคัญของสารัช นำมาซึ่ง Pain point ​ในการสื่อสารของลูกค้า เมื่อต้องการซื้อมะขามจี๊ดจ๊าด ว่าเป็นการเรียกชื่อสูตรมะขามของสารัช หรือเป็นการเรียกชื่อแบรนด์อื่นๆ ​ในตลาดกันแน่

คุณศุภาลักษณ์ กมลธรไท ผู้ก่อตั้งแบรนด์และกรรมการผู้จัดการ และ​ คุณสารัช กมลธรไท กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงอินไซต์เกี่ยวกับความสับสนที่ผู้บริโภคมีต่อสูตรมะขามจี๊ดจ๊าด ของสารัช จากผล​สำรวจรายกลุ่มที่ทางแบรนด์ได้รับรู้มา พบว่า ผู้บริโภค 80% รู้จักสินค้ามะขามจี๊ดจ๊าด จากแพกเกจ กระปุก และรสชาติ แต่จำชื่อแบรนด์ไม่ได้ มีเพียง 20% เท่านั้น ที่รู้จักและจดจำชื่อแบรนด์

อินไซต์สำคัญดังกล่าว ประกอบกับความสับสนของผู้บริโภคในตลาด​ที่มีมาหลายปี นำมาสู่การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ  50 ปี ของ ‘มะขามสารัช‘ เพื่อทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่ง เป็นที่จดจำของผู้บริโภค รวมทั้งปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความทันสมัย และใกล้ชิดกับผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น​  โดยเฉพาะการจดจำชื่อแบรนด์มะขามสารัช ​ในฐานะต้นตำรับมะขามจี๊ดจ๊าด

“ที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้าให้ถูกใจผู้บริโภค ​ขยายช่องทางจำหน่าย รวมทั้งการดูแลบริหารวัตถุดิบและกำลังผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทำให้ไม่ได้โฟกัสเรื่องการสร้างแบรนดิ้งมากนัก จนปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมทั้งการขยายเครือข่ายทั้งด้านวัตถุดิบ ประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งกำลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรับรู้ถึง Pain point ในตลาด ทำให้ปีนี้จะเป็นปีสำคัญของมะขามสารัช เพื่อทำให้แบรนด์มีความแข็งแรง สามารถสร้างการจดจำ และ​เข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น “​  

เร่งสร้าง Branding​ พร้อมผลักดันมะขามเพชรบูรณ์สู่เวทีโลก

สำหรับแผน​การสร้าง Branding ที่แข็งแรง ภายใต้งบการตลาดไม่ตำ่กว่า 20 ล้าน สำหรับใช้ในการสื่อสารแบรนด์ เพื่อตอกย้ำความเป็นต้นตำรับ​ ‘มะขามเพชรบูรณ์’  ​ผ่านแคมเปญมะขามสารัชยืนหนึ่ง พร้อม สร้างภาพจำผ่านพรีเซ็นเตอร์ ที่เลือกใช้ผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่างคุณศุภาลักษณ์ มาปรับภาพลักษณ์ให้มีความสดใส ทันสมัย และสร้างการจดจำ รวมทั้งการออกแบบโลโก้ สารัช พร้อมสัญลักษณ์มะขาม เพื่อใช้ในการสื่อสารแบรนด์ในทุกช่องทาง รวมทั้งการจัดแพกเกจพิเศษมะขามจี๊ดจ๊าด ​เพื่อกระตุ้นการขายในช่องทางต่างๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรด และช่องทางออนไลน์  ​

ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเพิ่มการรับรู้ให้​กับทั้ง 4 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ สารัช (SARACH TAMARIND) จับกลุ่มตลาดแมส ผ่านสินค้ามะขามแปรรูปที่หลากหลายทั้งมะขามคลุก มะขามแก้ว และมะขามจี๊ดจ๊าด ​ เป็นต้น,  Alisa มุ่งไปที่กลุ่ม Youngster กลุ่มสาวสมัยใหม่ เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิทัล ASHIRA SAN เป็นแบรนด์ลูกของสารัชที่เติมความสนุก เพิ่มอรรถรสในการกิน และ SARACH GOLD เป็นแบรนด์มะขามระดับพรีเมี่ยม เพื่อสามารถขยายสินค้าให้ครอบคลุมได้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย

โดยปัจจุบัน สารัชทำตลาดทั้งในประเทศและส่งออก ภายใต้กำลังผลิตสินค้าไม่ต่ำกว่า 7 ล้านชิ้นต่อปี  หรือราว 6-8 แสนชิ้นต่อเดือน และปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในแต่ละปีจำนวนหลายพันตัน เพื่อรองรับทั้งการทำตลาดในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักราว 80% และ 20% สำหรับการส่งออก ในรูปแบบ OEM ทั้งในออสเตรเลีย อเมริกา ยุโรป ตะวันนออกกลาง รวมทั้งในแถวอาเซียน โดยมียอดขายในแต่ละปีหลักร้อยล้านบาท พร้อมทั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้ราว 20-30%

“อีกหนึ่งความแตกต่างของมะขามสารัช ที่จะตอกย้ำมากขึ้น เพื่อตอกย้ำถึงคุณภาพและสร้างความแตกต่างให้แบรนด์จากคู่แข่ง คือการเลือกใช้วัตถุดิบในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GI ทำให้แบรนด์สามารถผลิตมะขามแปรรูปที่มีรสชาติเอกลักษณ์เฉพาะของมะขามเพชรบูรณ์แท้  พร้อมส่งต่ออาชีพ และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ได้ให้เกษตรกรสวนมะขาม​​ทั้งมะขามหวาน และมะขามเปรี้ยว ภายในเครือข่ายไม่ต่ำกว่าหมื่นราย ที่นอกจากการรับซื้อวัตถุดิบแล้ว ยังให้ความสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้  และนวัตกรรมในการปลูกแบบมะขามต้นเตี้ย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ทำให้มีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายไร่มะขามที่ได้รับรอง GI เพื่อสร้างชื่อเสียงให้มะขามเพชรบูรณ์เป็นที่ยอมรับไปได้ทั่วโลก “

นอกจากธุรกิจในกลุ่มมะขามแปรรูปแล้ว ในอนาคต สารัช มาร์เก็ตติ้ง ยังมีแผน Diversify ธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ ​โดยโฟกัสการขยายในกลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค รวมทั้งยังเป็นช่องทางให้สามารถรองรับผลิตภัณฑ์ในเครือที่จะทำตลาดเพิ่มเติมในอนาคตได้

โดยมองโอกาสจาก 3 ธุรกิจ  ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจอาหารที่มีความแข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว และเตรียมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามากมากขึ้น

2. กลุ่มธุรกิจที่พัก เพื่อรองรับตลาดท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีโอกาสขยายตัวในอนาคต โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นที่พักแบบยั่งยืน ที่ส่งเสริม Green Energy ทั้งการติดตั้งโซลาร์เซลล์  หรือจุดชาร์จ EV เพื่อให้บริการผู้เข้าพัก รวมทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เป็นสินค้าภายในเครือ เพื่อสอดรับกับเทรนด์ด้านความยั่งยืน

3. กลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือสกินแคร์ เพื่อช่วยดูแลให้มีสุขภาพที่ดีได้แบบองค์รวมช่วยให้มี​อายุยืนยาว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรง และผู้คนให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสารัชมีศัดยภาพในการขยายตลาดนี้ด้วยเช่นกัน

“เป้าหมายสูงสุดของสารัช ไม่ใช่แค่การเติบโตของยอดขาย แต่สิ่งที่เราภูมิใจที่สุด คือ การเป็นตัวแทนในการนำพาแบรนด์ของคนเพชรบูรณ์ให้คนทั่วทั้งประเทศได้รู้จัก ไปจนถึงการขยายไปสู่ตลาดโลก ได้มีส่วนช่วยพัฒนาบ้านเกิด มีโอกาสสร้างรายได้​จากการทำธุรกิจ มาช่วยทำให้ชีวิตของคนในพื้นที่ดีขึ้น  ช่วยให้พนักงานและเกษตรกรในเครือข่ายของเรามีชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีโอกาสได้ทำหลายๆ สิ่ง เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีคืนกลับสู่สังคมเพชรบูรณ์  ช่วยทำให้เพชรบูรณ์กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง มีคนอยากเข้ามาเที่ยว และได้รับการยอมรับ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่เราอยากให้เกิดขึ้นมากกว่าแค่การมียอดขายทางธุรกิจที่เติบโตขึ้นเพียงอย่างเดียว” ​คุณศุภาลักษณ์ และ คุณสารัช กล่าวทิ้งท้าย