เอสซีจี ผลประกอบการครึ่งปีแรก กำไรโตเพิ่ม 31% ยอดขายเกินครึ่งมาจากกลุ่มเพื่อสิ่งแวดล้อม​​ เร่งเครื่อง 4 กลุ่มนวัตกรรม มุ่งโตตามเมกะเทรนด์โลก

เอสซีจีรายงานผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 ​​มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง​ 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายลดลงใน​ทุกกลุ่มธุรกิจตามสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว แต่มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ยอดขายเกินกว่าครึ่ง หรือ 54% ของรายได้จากการขายรวม เป็น​ยอดขายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Choice 137,258 ล้านบาท ขณะที่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ HVA (High-Value Added Products & Services) ​​อยู่ที่ 86,411 ล้านบาท คิดเป็น  34% ​

รวมท้ังยังมีรายได้​จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ทั้งสิ้น 108,672 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% ของรายได้จากการขายรวม

สำหรับผลประกอบการเอสซีจี สำหรับ​ไตรมาส 2 นั้น ฟื้นตัวจากการเร่งปรับตัวตามแผนงาน ท่ามกลางเศรษฐกิจอาเซียน จีน โลกชะลอตัว โดยมีรายได้รวมในไตรมาสนี้ 124,631 ล้านบาท  กำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท  กำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน จากการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานที่ลดลง

คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส และ คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม

คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ​กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจโลก จีนและอาเซียน ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์​​​ โดยเอสซีจี ได้เร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน ​เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน  ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว  ส่งผลให้ผลประกอบการเอสซีจีดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา

พร้อมเตรียมเร่งเครื่องใน 4 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสเติบโตตามเมกะเทรนด์โลก ประกอบด้วย

1. โครงการปิโตรเคมีครบวงจรใหญ่สุดในเวียดนาม ฐานผลิตสำคัญของภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ผลิตเม้ดพลาสติกคุณภาพสูง และนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว

2. ผนึกกำลังกับคู่ธุรกิจชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมกรีน ยกระดับ Green Innovation ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลก และสอดคล้องกับเทรนด์ ESG ได้แก่ นวัตกรรม ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงผลิตเป็นวัตถุดิบสำหรับพลาสติก Bio-PET ที่ย่อยสลายได้

3. ลงทุนในเทคโนโลยีวัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด ที่เก็บอุณหภูมิได้สูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน ตอบโจทย์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสีเขียว ตามเป้าหมาย Net Zero

4. เตรียม SCG Decor  เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนด้านวัสดุตกแต่งผิว และสุขภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสโตสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569

ด้าน คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีในช่วงที่ราคาพลังงานผันผวนช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566  โดยเฉพาะ ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้ 40% ขณะที่​ ธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ซึ่งให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม เติบโตต่อเนื่อง โดดเด่นด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid เริ่มใช้งานแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง โดยเอสซีจีมีการติดตั้งโซลาร์สำหรับใช้ภายใน และส่วนที่ให้บริการกับภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 231 เมกะวัตต์ ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2566

ขณะเดียวกันเอสซีจียังได้ลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลก จากสหรัฐอเมริกา  ร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media) สามารถกักเก็บความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน (Rondo Heat Battery) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อน ใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG

นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เพื่อขยายธุรกิจทั้งในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท

ขณะที่ทิศทางการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของเอสซีจี ประกอบด้วย

– บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC  คุณธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่  กล่าวว่า “ยอดขายรวมของ SCGC ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น  และส่วนต่างราคาสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้น ล่าสุด โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม  อยู่ระหว่างการทดสอบระบบต่างๆ ภายในโรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ต่อไป ขณะเดียวกันได้ผนึกกำลัง 2 ผู้นำเทคโนโลยีกรีนพลาสติกของโลก  บริษัท Avantium N.V. จากเนเธอร์แลนด์ และ บริษัท ไอเอชไอ (IHI) จากญี่ปุ่น  เตรียมสร้างโรงงานต้นแบบนำก๊าซ CO2 มาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรักษ์โลก รวมถึงพัฒนาเป็นวัตถุดิบทางเลือกอื่นๆ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ”

โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม

– ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี  คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่  กล่าวว่า  “เศรษฐกิจอาเซียนชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากได้รวมกิจการกับ JWD ในไตรมาสแรก  ขณะที่ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงเล็กน้อย  แต่คาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาโดยเฉพาะนวัตกรรมสินค้า บริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่า สะดวก ปลอดภัย รักษ์โลก ประกอบกับอาเซียนมีประชากรกว่า 560 ล้านคน  เอสซีจีเตรียมคว้าโอกาสนำ SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ  ปักธงเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน ชูนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569 ”

– บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP  คุณวิชาญ  จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า  “ไตรมาส 2​ นี้ สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง​ จากการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และ​พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยอยู่ระหว่างพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากอเมริกา Origin Materials  ซึ่งผลทดสอบล่าสุดได้ผ่านขั้นตอนที่ 1 การทดสอบในห้องปฏิบัติการ และขั้นตอนที่ 2 การปรับคุณสมบัติที่เหมาะสม พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 Pilot Plant และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนาในขั้นตอนต่อไป รวมทั้ง การวิจัยและพัฒนา Biodegradable Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลก และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส สร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”

“นอกจากปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังปรากฏการณ์ภัยแล้งเอลนีโญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงสิงหาคมปีนี้ถึงปลายปีหน้า  อย่างไรก็ตาม สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. คาดการณ์ว่า ในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมปีนี้ จะมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่  ทุกภาคส่วนควรกักเก็บน้ำสำรองไว้ให้มากที่สุด และใช้น้ำกันอย่างประหยัด เพราะปีหน้าอาจเกิดเอลนีโญระดับรุนแรง และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม” นายรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้าย

Stay Connected
Latest News